ถ้าพูดถึงการซื้อของออนไลน์ หลายคนคงคุ้นเคยกับ Shopee หรือ Lazada แต่ถ้าย้อนกลับไปมองเวทีระดับโลก ชื่อที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือ Amazon บริษัทที่เริ่มจากร้านขายหนังสือออนไลน์เล็ก ๆ กลายเป็นอาณาจักรเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วันนี้เราจะมาทำความรู้จักให้มากขึ้น ทั้งประวัติ ความสำเร็จ และบริการที่หลายคนอาจไม่เคยรู้
ประวัติความเป็นมา
ก่อตั้งขึ้นในปี 1994 โดย Jeff Bezos ซึ่งในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงพนักงานบริษัทการเงินธรรมดา ๆ แต่มีความฝันอยากทำธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตที่เพิ่งเริ่มบูมขึ้นมา โดย Bezos เลือกเริ่มต้นจาก “หนังสือ” เพราะมีสินค้ามากมายให้เลือกขาย และคนทั่วโลกต้องการเข้าถึงได้ง่าย ๆ เขาจึงตั้งชื่อเว็บไซต์ว่า Amazon.com (มาจากชื่อแม่น้ำอเมซอนที่ใหญ่ที่สุดในโลก สื่อถึงความหลากหลายและความยิ่งใหญ่ในอนาคต) จากการขายหนังสือออนไลน์ แล้วค่อย ๆ ขยายสู่สินค้าอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ของเล่น ไปจนถึงอาหาร ทำให้เว็บไซต์นี้กลายเป็น “ห้างสรรพสินค้าออนไลน์” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันไม่ได้เป็นแค่ร้านค้า แต่กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีธุรกิจหลายแขนง ครอบคลุมตั้งแต่ Cloud Computing จนถึง AI

บริการหลักขององค์กร
สิ่งที่ทำให้น่าสนใจคือบริการที่หลากหลาย ครอบคลุมแทบทุกด้านในชีวิตประจำวัน
Amazon.com (E-commerce)
เว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ที่มีสินค้านับล้านรายการ ตั้งแต่หนังสือเล่มเล็ก ๆ ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาแพง จุดเด่นคือรีวิวจากผู้ใช้จริง ระบบแนะนำสินค้าตามความสนใจ และการจัดส่งที่รวดเร็วPrime
บริการสมาชิกที่ให้สิทธิพิเศษมากมาย เช่น จัดส่งฟรีภายในวันเดียวหรือสองวัน, Prime Video สำหรับดูหนังและซีรีส์, Prime Music สำหรับฟังเพลง รวมถึงสิทธิ์เข้าถึงดีลพิเศษAWS
บริการ Cloud Computing ที่องค์กรทั่วโลกนิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น Netflix, Airbnb, Grab ไปจนถึงสตาร์ทอัพเล็ก ๆ ก็พึ่งพา AWS กันทั้งนั้น เพราะมีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และขยายระบบได้ง่ายKindle และ Audible
Kindle: อุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้การอ่าน eBook สะดวกขึ้นมาก
Audible: บริการหนังสือเสียงที่เหมาะกับคนชอบฟังมากกว่าอ่าน
Alexa และ Echo
ผู้ช่วยอัจฉริยะในบ้าน สามารถสั่งงานด้วยเสียงได้ เช่น เปิดเพลง เปิดไฟ ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า



จุดเด่นและความสำเร็จ
บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะมี ปรัชญาที่ชัดเจน คือ “ลูกค้ามาก่อนเสมอ” (Customer Obsession) Jeff Bezos เคยพูดว่า “เราจะไม่หยุดคิดหาวิธีทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด”
สิ่งที่ทำให้โดดเด่นคือ:
ระบบขนส่งและคลังสินค้า: ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จัดการสินค้าได้รวดเร็วและแม่นยำ
นวัตกรรมใหม่ ๆ: เช่น การทดลองใช้ Drone ส่งพัสดุ หรือการพัฒนา AI อย่าง Alexa
การลงทุนระยะยาว: มักจะไม่เน้นกำไรระยะสั้น แต่ลงทุนเพื่ออนาคตเสมอ เช่น การสร้าง AWS ที่ตอนแรกหลายคนไม่เข้าใจ แต่ปัจจุบันกลายเป็นรายได้หลักของบริษัท
Amazon กับผู้บริโภคในไทย
แม้ว่ายังไม่มีสำนักงานใหญ่สำหรับ E-commerce ในไทย แต่เราก็เริ่มเห็นอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ
คนไทยสามารถสั่งสินค้าผ่าน Amazon Global ได้ (แม้ค่าส่งและภาษีอาจจะสูง)
หลายองค์กรไทยใช้ AWS เป็นโครงสร้างหลักในการทำระบบ เช่น ธนาคาร สตาร์ทอัพด้านเทค และธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ
มีแนวโน้มอาจจะเข้ามาขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกในอนาคต ซึ่งไทยเองก็น่าจะเป็นหนึ่งในเป้าหมาย
สรุป
จากร้านขายหนังสือเล็ก ๆ ก้าวสู่การเป็น บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการช้อปปิ้งออนไลน์ การอ่านหนังสือ การฟังเพลง หรือแม้แต่ระบบอินเทอร์เน็ตเบื้องหลังที่เราใช้อยู่ทุกวัน
สำหรับคนไทย อาจจะยังไม่ใกล้ชิดเท่ากับแพลตฟอร์มท้องถิ่น แต่เชื่อว่าในอนาคตจะมีบทบาทมากขึ้น และถ้าอยากเริ่มทำความรู้จักจริง ๆ ลองใช้บริการ Kindle หรือสำรวจ AWS ดู แล้วคุณอาจจะมองเห็นอีกด้านหนึ่งของโลกดิจิทัลที่กำลังเปลี่ยนไป
สนใจบริการอื่นๆ เข้าได้ที่นี้